เทศน์บนศาลา

สัญญาความจำ

๒๒ เม.ย. ๒๕๔๔

 

สัญญาความจำ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ธรรมะปฏิบัติเกิดจากประสบการณ์โดยตรง ธรรมะปฏิบัติไม่เหมือนธรรมะภาคปริยัติ ธรรมะปฏิบัติอาศัยความประสบการณ์ตรงอันนั้นออกมาเป็นธรรม ธรรมะปริยัติ ความศึกษาเล่าเรียนมาก็เป็นสัญญาความจำได้หมายรู้ สัญญาความจำได้หมายรู้ออกไปตามสัญญานั้น สัญญานั้นมีขอบเขต ขอบเขตของสัญญามันจำได้หมายรู้มันก็เป็นไปตามสัญญานั้น แล้วมันรู้ทันกัน ความรู้ทันกันอันนี้เป็นสัญญา

แต่ภาคปฏิบัติ ถ้าใครรู้ทันกันคนเป็นพระอริยบุคคลทั้งหมดนะ ถ้ารู้ทันกัน รู้ทันได้ ไม่ใช่รู้ทันไม่ได้ ถ้ารู้ทันจะเป็นประโยชน์กับภาคปฏิบัติมากเลย เพราะการรู้ทันคือการรู้ทันกิเลส ถ้าการรู้ทันกิเลสของตัวเอง นั้นคือการรู้ทันสัญญาอารมณ์ความจำได้หมายรู้ สัญญาอารมณ์ในหัวใจนี้สำคัญมากที่สุดเลย มันปกปิดอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกทั้งหมด

แล้วการแสดงธรรมโดยสัญญามันก็เป็นการจำได้หมายรู้เอาสัญญานั้นมาแสดง สัญญานั้นก็เป็นอย่างนั้น แม้แต่เราพูดอยู่นี้เขาก็ว่าเป็นสัญญา เขาว่าเป็นสัญญาเพราะอะไร เพราะมันต้องอาศัยสัญญาเหมือนกัน อาศัยสัญญาเป็นส่วนหนึ่ง

เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี้เป็นมนุษย์สมบัตินี้ประเสริฐสุด เราสร้างบุญกุศลมาประเสริฐมากถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเราไม่ได้สร้างบุญกุศลมาขนาดนี้ เราเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดในนรกอเวจี เกิดในเปรตในผี เกิดได้หมดนะ แต่ใจนี้ต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน มันไม่มีที่สิ้นสุด มันไม่มีต้นไม่มีปลาย

แต่เพราะบุญกุศลของเรา ทำให้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์เพราะบุญกุศลพาเกิด เกิดมาแล้วมีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้เป็นสมมุติ สมมุติเพราะอะไร เพราะมันเกิดมาชั่วอายุขัยของเราเท่านั้นเอง ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ จะอยู่กับเราชั่วอายุขัยของเราเท่านั้น หมดจากอายุขัยของเรา เราตายไป ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ “ธาตุ ๔” ต้องทิ้งไว้กับโลกนี้ “ขันธ์ ๕” กับหัวใจไปด้วยกัน แล้วไปด้วยกัน เพราะมันจำได้หมายรู้ไป บุญกุศลนั้นตามหัวใจนั้นไป

หัวใจนั้นจะไปเกิดตกในที่ไหนต่อไป ไปเกิดในเทวดาก็มีขันธ์ ๔ ไปเกิดในพรหมก็มีขันธ์ ๑ ขันธ์นี้ถึงไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะมีกับเราตลอดไป ถ้ามีกับเราตลอดไป เราก็ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป แต่มันไม่เป็นอย่างนี้ตลอดไป เราเวียนตายเวียนเกิดไปตามกระแสของกรรม กระแสของกรรมพัดไปให้จิตดวงนี้ไป จิตดวงนี้ถึงว่าไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตดวงนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย

แต่เกิดในปัจจุบันนี้ เราได้ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มานี้เพราะเราได้สร้างบุญกุศลมา บุญกุศลนี้เกิดมาพร้อม ธาตุ ๔ กับขันธ์ ๕ มันเป็นอุปกรณ์ที่จะมาประพฤติปฏิบัติ การศึกษาการทำงานเขาต้องหาอุปกรณ์กัน กว่าจะได้อุปกรณ์มา เราจะซื้อข้าวซื้อของเราต้องหาเงินมาก่อน มีเงินแล้วเราถึงจะได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่เราพอใจมา การแสวงหาเงินมานั้นก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง ความทุกข์อันหนึ่งแต่เราพอใจ เราไม่เห็นความทุกข์อันนั้น

มันเป็นการแสวงหา เพราะความตั้งใจความจงใจ เราต้องการแสวงหามา มันเป็นตัณหาความทะยานอยากปกคลุมไว้ ตัณหาความทะยานอยากคือกิเลสนี้เท่านั้นที่ปกคลุมหัวใจไว้ทั้งหมดเลย แล้วหัวใจนี้ก็ไม่รู้ตามนั้น

“ไม่รู้” ไม่รู้เพราะอะไร เพราะว่ามันมีอวิชชาปกคลุมหัวใจอยู่ ตัณหาความทะยานอยากก็ปกคลุมหัวใจอยู่ แต่การแสวงหาไปนั้น เพราะเป็นการไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับชีวิตเรา สิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับชีวิต ชีวิตนี้จะอาศัยสิ่งนั้น อาศัยสิ่งนั้นเป็นปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย เป็นธรรมชาติของมัน

ธรรมชาติของสัตว์โลกเรานี้ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยนี้เป็นธรรมชาติที่เราต้องอยู่อาศัยไป เป็นปัจจัย ๔ การดำรงชีวิตอยู่ แต่ตัณหาความทะยานอยากนั้นเป็นกิเลส ตัณหาความทะยานอยากนั้นมันสะสม คนๆ หนึ่งสะสมไว้เท่ากับโลกธาตุนี้ยังไม่มีที่เก็บถ้ามันร่ำรวยมหาศาลขนาดนั้น แล้วมันใช้สอยตามนั้นไหม มันไม่ได้ใช้สอยตามที่ว่ามันแสวงหามาเลย เพราะมันแสวงหามาเกิน นี่ตัณหาความทะยานอยาก

แต่ถ้าเป็นคนมีบุญคนกุศลมาเกิด เขาจะมีมาขนาดไหน เขาตั้งโรงทาน เขาทำบุญกุศลของเขา สมบัติของเขาเป็นประโยชน์ของเขาถ้าจิตดวงนั้นเป็นจิตที่ดวงนั้นดี จิตดวงนั้นจะดีได้เพราะศีลธรรม ศีลธรรมเรามีอยู่ เราแสวงหาศีลธรรมกัน ศีลธรรมนี้เข้ามาเพื่อเป็นกรอบของใจ ศีลธรรมนี้เข้าได้กับขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ศีลธรรมนี้เข้ากันมันก็จรรโลงให้ขันธ์ ๕ นี้ดัดตน ดัดตนให้อยู่ในกรอบ ถ้าอยู่ในกรอบเราก็สร้างบุญกุศลของเราไป สร้างบุญกุศลของเราแล้วเราจะมีความสุขความเจริญต่อไปในโลกนี้

แต่เราไม่ปราถนาอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะเราเกิดมาเรามีบุญกุศล บุญกุศลพาให้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนไง สอนเรื่องจรรโลงหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสัตว์โลกมันต้องขับไสไป ทุกข์ของการเกิดและการตายนี้เป็นทุกข์อย่างมหันต์ที่สุด ทุกข์ใดๆ ในโลกนี้ไม่เท่ากับทุกข์การเกิดและการตาย เพราะการเกิดและการตายนั้นสะสมทุกๆ อย่างเข้าไปในหัวใจดวงนั้น

ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นมา เห็นไหม เราไม่มี เรากลัวการตายกัน แต่ผู้ประพฤติปฏิบัติเขากลัวการเกิดกัน เพราะการเกิดมามันบุญกุศลพาเกิดมา เรามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ที่จะมาประพฤติปฏิบัติ เราเกิดมานี้บุญพาเกิด ฉะนั้นถึงพอใจในการเกิดนั้น แต่แล้วเราจะต้องตายแล้วไม่เกิดอีก

แต่นี้เราไปกลัวตาย กลัวเฉยๆ มันไม่มีคุณประโยชน์กับใจดวงนั้น กลัวแล้วมันเป็นความทุกข์ร้อนให้กับหัวใจดวงนั้นอีก ยิ่งกลัวเท่าไร กลัวก็เป็นอุปาทาน อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ดำรงชีวิตนั้นไปด้วยความลุ่มๆ ดอนๆ ชีวิตนั้นลุ่มๆ ดอนๆ ถ้ามันเผลอ มันมีความพลั้งเผลอไปกับโลกเขา มันก็พอใจสิ่งนั้นไป

สิ่งที่ความพลั้งเผลอไป การแสวงหาไป ตื่นกับเขาไป ตั้งแต่เยาว์วัย ตั้งแต่ยังหนุ่มสาวคิดว่า ยังไม่ตาย เมื่อไรก็ได้ ยังใช้ชีวิตไปตามความพอใจของตัว ใช้ชีวิตอย่างนั้นไป จนถึงจุดหนึ่งพอใกล้แก่เฒ่าขึ้นมาจะเป็นจะตายไป มีสมบัติอะไรติดตัวไป นี่มันได้คิด พอได้คิดมามันก็จะทำอะไรได้ล่ะ เพราะหัวใจนั้น หัวใจนั้นโดนหล่อหลอมไปด้วยอุปาทาน หล่อหลอมไปจนหัวใจนั้นเป็นผู้ป่วย หัวใจนั้นเป็นหัวใจป่วย หัวใจนั้นเป็นแบบเหมือนกับกระชังก้นรั่ว สิ่งใดหัวใจถ้าได้ฝึกฝนมาอย่างใดแล้ว มันเก็บไว้ไม่ได้ หัวใจรั่วมันเก็บข้าวของเงินทองไว้ในหัวใจนั้นเก็บของได้ลำบาก

ความดัดตนก็เหมือนกัน ถ้าเราปล่อยจนมันเคยใจ ใจนี้เคยไปตามอำนาจของมัน มันจะไปตามอำนาจของมันขนาดไหนมันก็เป็นไปตามอำนาจของมัน มันเคยของมันเพราะอะไร เพราะเราใช้ชีวิตอย่างนั้น แล้วถึงเวลาแล้วเราจะไปบังคับมัน บังคับให้อยู่อย่างนั้นมันก็ทำได้ยาก กับถ้าเราเริ่มต้นมา มีศีลมีธรรมมา เราบังคับตนมาตั้งแต่ต้น ถ้าเราบังคับตนมาตั้งแต่ต้น เราพยายามออกไป นี่ผู้ที่เห็นประโยชน์แก่ศาสนา ถ้าผู้ที่เห็นประโยชน์ในศาสนา ศาสนานั้นเป็นยารักษาโรค เป็นธรรมโอสถที่จะมารักษาใจนี้ ใจนี้จะมีเพื่อนคู่เคียงไป ใจนี้จะมีผู้ดำเนินไป

“ธรรมกับใจ” ธรรมกับใจ ธรรมเป็นความสุขความร่มเย็น ใจนี้ต้องการความร่มเย็น เราแสวงหาสิ่งใดๆ มา เราว่าจะเป็นความสุข มันไม่เคยสมปรารถนาหรอก ตัณหาความทะยานอยากมาล้นฝั่งมาขนาดไหน หามาไม่เคยมีความพอกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นหามาขนาดไหนก็เอาแต่ความเร่าร้อนมาให้กับใจดวงนั้น

เป็นไม่ได้เลยที่กิเลสจะเอาความสุขมาให้กับใจ เป็นไปไม่ได้เลย เอาแต่ความทุกข์มาให้กับใจ แล้วไม่รู้ด้วยนะ ไม่รู้นี่มันทุกข์ ๒ ชั้น ชั้นหนึ่งคือความไม่รู้ การแสวงหามาคือแสวงหาเปล่า ทางโลกว่าแสวงมาไม่เปล่าได้ประโยชน์มา แต่ประโยชน์นั้นมา แสวงหามาเปล่า แล้วยังทำให้หัวใจนั้นรั่ว หัวใจนั้นให้เคยใจอย่างนั้น ใจเคยใช้ชีวิตอย่างนั้น นี่แสวงหามาเปล่าแล้วยังให้โทษกับใจดวงนั้น

แต่ถ้ามีศีลธรรมมา แสวงหามาไม่เปล่า แสวงหามาแล้วเพื่อใจตัวเอง เพื่อหมู่สัตว์เพื่ออะไร นี่เพื่อไปหมดเลย เพื่อเขาเพื่อเขา ความสละออกของใจ ความตระหนี่มันออกไป ทาน ศีล ภาวนา เรามีทานกัน ถ้าเริ่มมีทาน ทานตั้งแต่ให้ของนอก นั้นน่ะคือเป็นการฝึกตน การฝึกตนฝึกจากตรงนั้น

ความตระหนี่ถี่เหนียวเรามองไม่เห็นหรอกว่ามันตระหนี่ถี่เหนียวอย่างไร เราคิดอย่างไรนะ ถ้าเราคิด เราต้องเข้าข้างตัวเราเองโดยธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของสัตว์โลกทุกดวงใจเข้าข้างตัวเองว่าตัวเองนี้เป็นสิ่งที่ถูกหมด ตัวเองดีทั้งหมด มันถึงไม่เห็นสิ่งใด...มืดบอด มืดบอดเพราะว่าตัวตนมันปิดบังใจไว้

มืด หัวใจนี้มืดหมดเลย แล้วมืดไม่มืดธรรมดานะ คนตาบอดมันคลำช้าง คนตาบอดมันจินตนาการ ไม่เคยเห็นภาพสิ่งใดๆ เลย แล้วก็ว่าสิ่งนั้นถูกต้องตามความคิดของตัว มืดแปดด้านแปดทิศนะ แต่เวลาถ้ามันเปิดสว่างขึ้นมามันจะสลดใจมาก ใจดวงนั้นถ้าลองได้มีแสงสว่างแวบเข้าไปในหัวใจ มันจะบอกว่าทำไมใจมันมืดอย่างนั้น แล้วจะมาเพ่งโทษตัวเองนะ

ถ้ามรรคหยาบๆ ถ้าเราเริ่มปฏิบัติธรรมกัน ความหยาบของใจอันนี้มันจะปกปิดใจไว้ ไม่ให้ใจนี้เปิดได้เลย แล้วมันก็จะรัดตรึงตัวเองไว้อย่างนั้น แต่ถ้าเราทำไปแล้วมันจะสลดสังเวชตนเอง มันน่าเศร้าถ้ามันสลดสังเวชตัวเอง ทำไมตัวเองเป็นอย่างนั้น แต่เวลาจะเปิด เห็นไหม เปิดไม่ได้ นี่มันลำบากลำบากตรงนั้นไง ลำบากตรงเราจะประพฤติปฏิบัตินี่มันเปิดใจนี้ไม่ออก ใจนี้เปิดขึ้นมาไม่ได้เลย พอใจเปิดขึ้นไปไม่ได้มันก็ปิดหมด มันเป็นคนมืดบอด แล้วใครเป็นล่ะ

ถ้าเราไม่เห็น เราก็ไม่รู้สึกตัวเอง ถ้าเราเห็นตรงนี้ คนที่เห็นอย่างนี้คนนั้นประเสริฐนะ ประเสริฐเพราะอะไร เพราะใจของเราเราสามารถเปิดให้แสงสว่างเข้ามาในใจของเราได้ ทำความสงบของใจ ถ้าใจนี้สงบขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราว นั่นล่ะ จะพ้นจากสัญญาความมั่นหมายในอารมณ์ ถ้าไม่มีความสงบเข้ามาของใจ มันเป็นความมั่นหมาย เป็นสัญญาอารมณ์ในหัวใจทั้งหมดเลย

เราทำความสงบนะ ทำความสงบของใจ ใจมันสงบขึ้นมาบ้าง จนธรรมมันเกิด ฟังสิ “ธรรมมันเกิด” หมายถึงว่า มันชำระ มันเท่ากับปลดเปลื้องความคิดความกังวลในใจ ความคิดความกังวลในใจบางอย่างมันจะฝังหัวใจของเรามาก เราสงสัยเรื่องสิ่งใดๆ อยู่ ความกังวลอันนั้นมันจะฝังใจอยู่ เวลาจิตมันสงบลงไปนะ มันจะปลดเปลื้องความกังวลอันนั้นออก พอปลดเปลื้องความกังวลอันนั้นออก มันจะสว่างโล่งไปหมดเลยนะ มันจะสุขใจมากเลย

นี่ว่าธรรมมันเกิด ธรรมมันเกิด มันก็อยู่ในขอบของสัญญาอารมณ์

สัญญาอารมณ์ สัญญาความมั่นหมายรู้มันเป็นที่ใจ ใจตัวมั่นหมายรู้นี้มันเป็นตัวเริ่มต้น พอมันมั่นหมายอันนี้ไว้มันก็เป็นสัญญาอารมณ์ซับไป พอซับไปมันก็อยากอันนี้ ตัณหาความทะยานอยาก อยากได้ความสงบอย่างนั้น อยากได้ความเข้าใจอย่างนั้น นี่ทุกข์ ทุกข์โดยไม่รู้ตัวเลย สิ่งที่ควรเป็นประโยชน์มันเกิดมันก็เกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง แล้วก็วางไว้ตามความเป็นจริงอันนั้น ความสุขอันนั้นก็เป็นอดีตไปแล้ว ทำไมไปเหนี่ยวรั้งสิ่งนั้นมาเป็นทุกข์ นี่ทุกข์โดยไม่เข้าใจ

สิ่งที่เราไม่เข้าใจมันจะให้ค่าเป็นทุกข์เพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่กับสิ่งนั้น

ขันธ์ ๕ นี้เป็นขันธ์ ๕ นะ ขันธ์ ๕ นี้เป็นขันธ์ ๕ โดยธรรมชาติของมัน มันจะมีโทษต่อเมื่อกิเลสไปใช้มัน “รูป” “รูปของกาย” กายของเราก็เป็นรูป รูปของกาย “รูปของจิต” ก็ได้

ดูอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับหลานพระสารีบุตรสิ หลานพระสารีบุตร ไปต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ไม่ชอบสิ่งใดๆ เลย”

ไม่ชอบคือว่าไม่พอใจ ไม่พอใจสิ่งใดๆ คือไม่พอใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาพระสารีบุตรเอาน้าของตัวมาบวช เอาตระกูลของพระสารีบุตรไปบวชมากเลย ไม่พอใจ ความไม่พอใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอบ

“ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งใดๆ เธอก็ต้องไม่พอใจสิ่งที่เธอไม่พอใจนั้นด้วย สิ่งที่เธอไม่พอใจเขานั้นก็เป็นรูปอย่างหนึ่ง เป็นรูปที่จับต้องได้อย่างหนึ่ง”

ถึงรูปของจิตนี้ก็มี รูปของกายนี้เป็นรูปของกาย ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ รูปเป็นรูป รูปของจิตเป็นรูปของจิต รูปของกายเป็นรูปของกาย ถ้ารูปของกายนี้จับต้องได้ ถ้าจิตสงบนั้นพิจารณากาย ถ้าพิจารณากายนี้จะพิจารณาแยกแยะเรื่องของกาย ให้ทำความเข้าใจกับกาย อันนี้จะเป็นวิปัสสนา

แต่นี้ยังไม่เป็นวิปัสสนา นี่พูดถึงรูปเฉยๆ รูปของจิตก็เป็นเหมือนกัน รูปของจิตก็จับต้องได้ถ้าจิตเราสงบ แต่ถ้าจิตเราไม่สงบมันเกิดขึ้นเป็นอารมณ์แล้วมันปั่นป่วนไป ความปั่นป่วนของความคิดเราไป เหมือนรูปของใจมันหมุนออกไปเป็นรูปของใจ แต่เราไม่เห็น ไม่เห็นเพราะอะไร เพราะมันรวมกันหมด

ขันธ์ ๕ รวมไปพร้อมกัน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต้องหมุนไปพร้อมกันถึงจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกของเราขึ้นมาได้อันหนึ่ง อารมณ์สัญญาความจำได้หมายรู้มันแยบขึ้นมาก่อน พอแยบขึ้นมาก่อนมันเหมือนกับเราจุดไฟ ประกายไฟ เราจุดประกายไฟขึ้นมา แล้วประกายไฟขึ้นมาเราก็ราดไปด้วยน้ำมัน วิญญาณรับรู้เหมือนน้ำมัน พรึบ! ไฟนั้นจะลุกขึ้นมาเลย เป็นประกายเฉยๆ แล้วน้ำมันราดเข้าไป พอราดเข้าไปนี่สังขารปรุงแต่ง

สังขารปรุงแต่ง ปรุงแต่งเพราะความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น มันวูบขึ้นมาเป็นอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมา เพราะวิญญาณรับรู้ สังขารปรุงแต่งไป ปรุงแต่งไป วิญญาณก็รับรู้ไปเรื่อย ราดไปเรื่อย ไฟราดไปเรื่อย ไฟจะลุกโชติช่วงขึ้นมาเลยนะ แล้วก็เป็นสังขารปรุงแต่ง เวทนารับรู้ไป เวทนาความสุข ความไม่พอใจ สิ่งที่เขาติเตียนสิ่งที่เขาว่า มันยิ่งจะเสริมเข้ามามาก นี่เวทนาให้ค่ามาก

วิญญาณก็รับรู้ด้วยน้ำมันที่สาดเข้าไป สาดเข้าไป สัญญาจำได้หมายรู้เมื่อนั้น เมื่อนั้น เมื่อนั้น เขาว่าเมื่อนั้น เมื่อวันนั้น สัญญาจะขึ้นมาเรื่อยๆ มันจะหมุนไปเป็นอารมณ์ อารมณ์ของใจ นี่รูปของจิต รูปของจิตจะหมุนไปเพราะในขันธ์ ๕ มันทำงานครบรอบของมัน คือขันธ์ ๕ รวมตัวเป็นอารมณ์ความรู้สึกไป นั่นเป็นรูปของจิต

เวทนาล่ะ เวทนาของกาย เรานั่งอยู่เฉยๆ นี่เวทนาของกาย เจ็บปวดแสบร้อนนี่เรื่องของกายมันจะมีเวทนาเกิดขึ้น เราก็ว่าเวทนามันก็เป็นสักแต่ว่าเวทนา เวทนาเป็นเวทนาเรารับรู้ด้วย ถ้าเวทนาถ้าจิตมันไม่รับรู้ เวทนา เห็นไหม วิญญาณไม่รับรู้เวทนา จิตมันไม่หลงไปกับเวทนานั้น เวทนานั้นมันสักแต่ว่าเวทนา มันไม่รู้เรื่องหรอก มันเวทนา คนนั่งอยู่ ๗ วัน ๘ วัน ศพมันนอนตายอยู่ในโลงนี่มันไม่รู้เรื่องใดๆ เลย แต่มันรู้เรื่องเพราะว่าจิตมันเข้าไปรับรู้ นี่ขันธ์ ๕ มันไปวงรอบของมัน

แต่มันเด่นในอะไรล่ะ? มันเด่นในรูป เด่นในเวทนา แต่ขันธ์ ๕ นี้ไปพร้อมกัน ในสัญญาแล้วแต่สัญญาจะจับได้นะ เด่นในสัญญา เด่นในสังขารปรุงแต่ง ถ้าจิตมันจับต้องได้ อยู่ที่จริตนิสัยของหัวใจนั้น จับดวงใดดวงหนึ่งขึ้นมา สิ่งนี้จับได้มันจะจับตัวของการวิปัสสนาได้ จับงานชอบได้

ถ้าจับสิ่งนี้ไม่ได้ สิ่งนี้กวนใจมาก เหมือนกับสัญญาที่ว่าไฟราดเข้าไป ประกายจุดไฟขึ้น น้ำมันราดลงไป น้ำมันราดลงไป มันจะหมุนไปอยู่อย่างนี้ นี่คือขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ แล้วสิ่งที่จำได้หมายรู้คือสัญญา สัญญาเราศึกษามา

“ศาสนวัตถุ” เราก็คิดว่าสัญญาความจำได้หมายรู้ คนที่ว่าหยาบๆ เด็กๆ หรือว่าคนที่เข้าวัดใหม่ๆ ถ้าเจอวิหารเจอโบสถ์ ศาสนวัตถุนั้นคือตัวศาสนา คือวัดวาอาราม ถ้าเป็นศาสนวัตถุขึ้นมาตัวนั้นคือตัวศาสนา มันหยาบขนาดนั้นนะ

“ศาสนธรรม” ศาสนธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากราบพระกัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมคือคำสั่งสอน คือศาสนธรรม คือตัวธรรม ตัวธรรมที่เราศึกษาเข้าไป ตัวบัญญัติที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ นี่คือศาสนธรรม บัญญัติให้เราศึกษาธรรมนี้เข้ามาเพื่อจะชำระความคิดของโลก สมมุติโลกอยู่ในโลกหัวใจ

“ศาสนบุคคล” ครูบาอาจารย์ที่จะสั่งสอนเรา “ศาสนบุคคล” ถ้าบุคคลคนนั้น ศาสนบุคคล ครูบาอาจารย์ของเราปฏิบัติธรรมมาสมควรแก่ธรรม เห็นธรรมรู้ธรรม เอาเกร็ดไง เกร็ดคือการรู้ในธรรมนั้นมาสอนเรา

ถ้าเป็นศาสนะเป็นสัญญา เป็นการใช้สัญญา สัญญานี้มันมีอยู่ ถ้าจะบอกว่าไม่เป็นสัญญาอารมณ์เลย มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องอาศัยสัญญา สัญญาคือการสื่อกัน สัญญานี้สื่อออกมา จำสัญญามาแล้วเป็นสมมุติสื่อกันออกไป อาศัยสัญญานั้นสื่อเพื่อความหยั่งรู้

ครูบาอาจารย์ก็เทศน์ตามสัญญา คือสุตมยปัญญาที่ศึกษามาจากพระไตรปิฎก ศึกษามาจากครูบาอาจารย์ แล้วศึกษามาจนเข้าไปประสบตามความเป็นจริงในศาสนบุคคลนั้น เกร็ดของบุคคลนั้น เกร็ดในการที่แยกออกไป ทะลุออกไปจากขันธ์ ๕ นั่นน่ะ ถ้าในการทะลุออกไปจากขันธ์ ๕ วิธีการที่จะทำให้ใจนี้หลุดออกไป วิธีการอันนี้สำคัญมาก เพราะเป็นสมบัติส่วนตน

ผู้ที่ไม่เคยพบสิ่งนี้จะรู้ไม่ได้เลย จะเป็นสัญญานี้เป็นสัญญาเหมือนทหาร ทหารถ้าจะออกฝึกยุทธวิธี ออกฝึกซ้อมรบ เขาจะสร้างข้าศึกสมมุติขึ้นมา สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อจะออกไปซ้อมรบ อันนี้ก็เหมือนกัน หัวใจถ้าเราศึกษาขึ้นมามันก็สร้างสถานการณ์ขึ้นมา นี่เป็นสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาเราสร้างสถานการณ์ขึ้นมา สร้างขึ้นมาเพราะใจมันก็เทียบค่า

เราอ่านไปนี่สุตมยปัญญาทั้งหมดเลย ออกไปฝึกศึกษาจนเข้าใจตามหลักความจริง ออกสนามรบนะ ออกสนามรบไม่เคยชนะเลยนะ ออกสนามรบแพ้มาตลอด แพ้มาตลอด เราประพฤติปฏิบัติ เราเริ่มกระทำขึ้นมาเราก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย แพ้มาตลอดแพ้มาตลอด นี่มันก็เป็นประสบการณ์ของการแพ้

ประสบการณ์ของการแพ้ เกร็ดนั้นก็เกร็ดของผู้แพ้ เกร็ดของผู้แพ้ วิธีการหลบว่าแพ้จะหลบอย่างไรเพื่อจะไม่ให้เสียแต้ม ไม่ให้เสียเวลาโดนเขาจับไปเป็นผู้แพ้ ไม่เคยชนะ จนกว่ารบแล้วชนะ ประสบการณ์ของการชนะ นี่คำว่า “เกร็ด” เป็นของเล็กน้อยนะ เป็นของที่ว่าไม่มีความสำคัญเพราะเป็นเกร็ด ต้องแก่นสารถึงจะเป็นความจริง

เกร็ดอันนี้เป็นวิธีการของแต่ละบุคคล ศาสนบุคคลที่สามารถชำระล้างออกไป จะมีเกร็ดตรงนี้ออกมาในสัญญา ใช้สัญญาในการแสดงธรรม การสั่งสอนออกมา สัญญาแสดงธรรม ธรรมนี้เป็นสมมุติ สมมุติคือว่าสร้างรูปขึ้นมาให้เห็นกันเป็นจับต้องได้

แต่เกร็ดที่ท่านรู้จริงนั้นน่ะ มันจะต้องมีออกมาอยู่ในธรรมนั้นตลอดไป นี่มันจับเกร็ดได้ รู้วิธีการว่าจับเกร็ดได้แล้ว คนที่เขารู้จริงมันฟังมันจะฟังออกว่าอันนี้ไม่ใช่สัญญาอารมณ์ ถ้าสัญญาอารมณ์มันจะไปเรียบๆ ไปตามที่ว่าตามที่กรอบของสัญญา กรอบของความคิดความสัญญาความมั่นหมายที่จำได้หมายรู้อันนั้น มันจะเป็นกรอบสัญญาแล้วหมุนไปตามนั้นเท่านั้นเอง

แต่นี้มันไม่ใช่ มันไม่ใช่เพราะความจริงที่มันปรากฏขึ้นมา ความจริงปรากฏขึ้นมามันชนะ

ถึงบอกว่าธรรมนี้รู้ตามทันกันได้ตามความเป็นจริง ผู้ที่ก้าวเดินตามธรรม ธรรมอันนี้จะเห็นเข้าไปในหัวใจ ถ้าหัวใจนั้นเข้าถึงธรรมมันทะลุกรอบอันนั้นไป แต่ก่อนทะลุกรอบได้ เราต้องทำความสงบเข้ามาให้ได้ก่อน ถ้าทำความสงบของเราไม่ได้ ความเข้าใจนี้มันเป็นสัญญา ความที่มันเป็นสัญญามันเป็นสัญญาเพราะอะไร เพราะมันเป็นโลกียะ มันเป็นอารมณ์โลก

สิ่งที่เป็นอารมณ์โลกเพราะอะไร เพราะว่าขันธ์ ๕ เราหมุนเวียนไปตลอด มันหมุนไปเป็นอารมณ์ไป แล้วเราก็ไม่เห็น เราก็จับต้องสิ่งนั้น การจับต้องสิ่งนั้นแล้วจับต้องสิ่งนั้นใช้ปัญญาเข้ามา ใช้สติสัมปชัญญะยับยั้งไว้

สติกับสัญญา สัญญาละเอียดมากนะ ละเอียดจริงๆ ละเอียดจนเราไม่สามารถเห็นได้ ถ้าเป็นเวทนา เป็นสังขาร เรายังคิดได้ ยังตามทันได้ แต่สิ่งที่ละเอียดนั้นมันให้ค่ามากกว่า เพราะมันเป็นตัวจุดประกาย ตัวจุดตัวส่องแสงที่จะออกจากจุดนั้นออกไปมันจะเป็นภาพกว้างออกไป

อันนี้ก็เหมือนกัน ความเห็นตรงนั้นที่ว่าเป็นของเล็กน้อย มันจุดความคิดของเราเข้ามา แล้วเราเห็นสิ่งนั้นไม่ได้ เห็นสิ่งนั้นไม่ได้เพราะเราอยู่กระทบกับเงา กระทบกับภาพนั้นแล้ว เราไม่สามารถจับต้องสิ่งที่กระทบสิ่งที่จุดประกายได้ แต่เราไปเห็นภาพเงาที่เป็นภาพใหญ่แล้ว นี่มันถึงได้ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

ต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิจับภาพนั้น หยุดภาพนั้นให้ได้ จับอารมณ์ของเรา สังเกตอารมณ์ความคิดของเราที่มันพุ่งออกไป เป็นความรู้สึกเป็นความคิด ความที่ว่ามันฟุ้งซ่านที่ว่าเป็นไฟซ้อนไฟที่มันหมุนออกไป จับสิ่งนั้นแล้วย้อนกลับมาให้มันอยู่นิ่งด้วยสติ ด้วยสัมปชัญญะ ทำความสงบของใจเข้ามา

ถ้าใจมันสงบเข้ามามันจะปล่อยวางเข้ามาเรื่อยๆ สิ่งที่ปล่อยวางเข้ามาเรื่อยๆ นี่การจะแก้ไขกิเลสมันจะต้องเข้าไปแก้ไขที่ใจ กิเลสมันอยู่ที่หัวใจเท่านั้น สิ่งอื่นๆ ข้างนอกนี้เพราะใจมันหลงตัวมันเองก่อน แล้วมันไปเกาะเกี่ยวข้างนอก อายตนะกระทบข้างนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มากระทบกับรูป รส กลิ่น เสียง ภายนอก แล้วเกิดอารมณ์หมุนเวียนเข้ามา

มันหลงตัวมันเองก่อนรอบหนึ่ง หลงตัวมันเองก่อนชั้นหนึ่ง แล้วมันก็ไปหลงกับสิ่งข้างนอกว่าสิ่งข้างนอกนั้นจะเป็นเครื่องอยู่อาศัย เป็นสิ่งที่เราจะพึ่งพาอาศัยได้ เพราะใจนี้เป็นนามธรรม มันไม่มีสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่พอจะเกาะเกี่ยวได้ มันก็อาศัยเกาะข้างนอก

มันน่าสงสารใจเราเองมากนะ ใจเรานี้เกิดตายในวัฏวน เกิดตายเกิดตายมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เกิดมาตลอดอยู่อย่างนั้น แล้วเกิดมาก็ใช้ชีวิตไปอย่างนี้ โดยที่ว่าไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เพราะไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องฉายภาพ เหมือนกับเชื้อโรคถ้าไม่ฉีดสีเข้าไปมันจะไม่เห็นภาพนั้น

อันนี้ก็เหมือนกัน เราใช้ชีวิตกันไปนะ จะมีศีลธรรมจริยธรรมขนาดไหนมันก็เป็นเรื่องของโลก มันไม่สามารถเอาหัวใจดวงนี้ออกไปจากโลกได้ แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาถึงบอก เราพยายามหยุดยั้งอันนี้ไง พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา

มีศีลขึ้นมามีขอบเขตของใจ ศีลอันนั้นศีลธรรมจริยธรรมกับกรอบของใจคือขันธ์ ๕ นี่เข้ากัน เข้ากันคือว่ามันเหนี่ยวรั้งกันได้ มันยับยั้งกันได้ พอยับยั้งกัน เห็นไหม กรอบของความคิดมันมีกรอบ กับความคิดที่มันไปเผ่นกระโดด เผ่นออกไปคิดถึงทั่ว ๓ แดนโลกธาตุ อย่าว่าคิดถึงแต่โลกนี้นะ มันคิดถึงเทวดา คิดถึงพระอินทร์ คิดถึงพรหม คิดถึงไปร้อยแปด สงสัยไปได้หมด

มันน่าสลดสังเวชว่า มันเกิดมาแล้วมีคุณสมบัติมหาศาลนะ มันมีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ที่สามารถเป็นอุปกรณ์เป็นวัตถุที่สามารถจะตกแต่งให้เป็นคุณวิเศษขึ้นมาได้ในหัวใจ แล้วมันไม่ใช้สิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์ สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ ถ้าเราใช้ให้เป็นประโยชน์

แต่เราใช้ไม่เป็น พอเราใช้ไม่เป็นนี่ให้กิเลสพาใช้ กิเลสในหัวใจของเรามันก็ขับไสไป พาใช้สิ่งนั้นไปโดยธรรมชาติของมันเพราะมันเกิดมากับเรา เห็นไหม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้เกิดในหัวใจนี้ มันปิดบังใจแล้วก็ลากถูกันมา ลากถูกันมานะ เลือดตกยางออกมาตลอดสายมา แล้วเราก็ไปตามนั้นเพราะอะไร เพราะไม่มีอำนาจยับยั้ง

รู้ว่าทุกข์ รู้ว่าเจ็บปวดแสบร้อนอยู่ รู้ รู้อยู่ก็แก้ไขไม่ได้ เพราะอะไร เพราะไม่แก้ไขตนเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นแบบพวกเรา ก่อนที่จะตรัสรู้ธรรมขึ้นมาปรารถนาพุทธภูมิ ๔ อสงไขย แสนมหากัป ดูสิ นับไม่ได้ถึง ๔ หน ชีวิตที่เป็นอย่างนี้ อย่างที่เราเป็นอยู่นี้ วนตายวนเกิดอยู่อย่างนี้ถึงนับไม่ได้ถึง ๔ ครั้งนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถึงได้ออกมา ๑๐ ชาติสุดท้าย สละขนาดนั้น

เราไม่เคยทำขนาดนั้นนะ แต่เราก็ยังปรารถนาสิ่งนั้น ปรารถนาเหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ แล้วมันเป็นไปได้ เป็นไปได้เพราะอำนาจวาสนาของเรา อำนาจวาสนาของเรามาเกิดพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาบอกวิธีการ

ธรรม ศาสนธรรม มรรคอริยสัจจัง มรรคคือมรรค ๘ ทางอันเอกอันนี้ ทางที่จะพ้นออกไปจากทุกข์ได้ เราต้องสร้างทางขึ้นมา เอกอยู่ที่ไหน เอกขึ้นมาจากหัวใจ แต่เอกคือ “เอกัคคตารมณ์” จิตนี้เป็นหนึ่งขึ้นมาได้ มันจะเห็นต้นทาง ถ้าจิตนี้ไม่สามารถทำความสงบของใจเข้ามาได้ มันต้นทางจะขึ้นต้นจากตรงไหน เราไม่สามารถจะก้าวเดินจากตรงไหน ไม่มีทางที่จะให้เดินเลย แล้วจะเดินที่ตรงไหน มันถึงต้องสร้างทางของเราขึ้นมาเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้บอกไว้ว่า เป็นผู้ที่ชี้ทางเท่านั้น ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชุบมือเปิบอย่างเราได้นะ ท่านจะพยายามเปิบเราให้พ้นไปนะ ให้พ้นจากทุกข์ไปทั้งนั้นเลย เพราะท่านเมตตาสงสารสัตว์โลกมาก เพราะอะไร เพราะอย่างเรา ถ้าคนมีครอบครัวมีลูกมีเต้าจะรู้นะ ลูกเต้าเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ไม่อยากให้เป็น อยากจะช่วยอยากจะอะไร

นี้ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมตตาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่จะมหาศาลมาก เห็นสัตว์โลกแล้วสลดสังเวช อยากจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้มันพ้นไปให้หมดนะ แล้วมันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก ละเอียดอ่อนมันลึกซึ้ง มันไม่รู้จะบอกได้อย่างไร จนขนาดที่ตรัสรู้ใหม่ๆ นี่วางใจนะ มันจะรู้กันได้อย่างไร ใครจะไปรู้สิ่งนั้นได้

สิ่งที่รู้ได้ยาก รู้ได้ยาก แต่มันอยู่ในหัวใจของเรา เพราะเริ่มต้นจากความคิดของเรา หัวใจของเราจับต้องได้ หัวใจของเรารู้สิ่งนั้นได้ ถ้าหัวใจของเรารู้สิ่งนั้นได้ มันยังไม่เห็นพบทางอันนั้น ก็พยายามปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา ถ้าปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา ใช้ความคิดย้อนตะล่อมจิตเข้ามา ตะล่อมจิตเข้ามา มันต้องอาศัยความสงบของใจ

ถ้าใจนี้ไม่สงบมันเป็นสัญญาความมั่นหมาย เราไปว่าคนอื่นเป็นสัญญามั่นหมาย ความคิดขึ้นมาจากในหัวของเรา คิดขึ้นมา จินตนาการขึ้นมา อันนั้นมันตัวสัญญาชัดๆ มันเป็นสิ่งที่โดนหลอกเอามาจากหัวใจ มันถึงว่าเป็นความคิดของโลก แล้วเราห้ามได้ไหม? ห้ามไม่ได้ สิ่งที่ห้ามไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ว่าสุดวิสัยที่เราจะไปปฏิเสธได้

เราถึงต้องพลิกแพลงกลับเอาสิ่งนั้นมาใช้เป็นประโยชน์ เอาสิ่งนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์เพราะสิ่งนี้มันเป็นอุปกรณ์ ที่ว่าขันธ์ๆๆ ความคิด สังขารความคิดความปรุงความแต่ง ปัญญาคือความรอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาตรงนี้ปัญญาในความคิดของเรา มันรอบรู้ในความคิดของเรา ถ้าปัญญารอบรู้ความคิดในกองสังขาร ปัญญาที่มันเกิดคิดไปโดยไม่รู้สึกตัว แล้วมันมีความคิดมันรู้เท่า ความคิดที่รู้เท่าปัญญาของเราที่มันคิดพุ่งออกไปมันก็จะสงบตัวลง

ปัญญาในศาสนาพุทธเรา ปัญญาในศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือปัญญารู้เท่าทันตน

แต่เราคิดกันในปัญญาของโลก เราต้องรู้ทันคนอื่นนะ เล่ห์เหลี่ยมของคนอื่นที่จะมาใช้เล่ห์กับเรา เราต้องจินตนาการ เราต้องคิดออกไป ปัญญานั้นปัญญาโลก ปัญญาโลกคิดออกไปมันเป็นเรื่องของโลกเขา มันเป็นสมบัติของโลกเขา เด็กอ่อนๆ เกิดมาไม่มีความรู้ เราก็ต้องสอนมาให้ทันเล่ห์เหลี่ยม นี่การดำรงชีวิตยืนอยู่บนโลก

โลกนี้เราจะยืนอยู่บนโลกนี้ เราขอที่ยืนให้ยืนอยู่บนโลกได้ คนที่ยืนอยู่บนโลกได้ประสบความสำเร็จทางโลกนั้น เห็นไหม นี่ใช้ประโยชน์ได้ สิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้มันเป็นประโยชน์ของโลกเขา ประโยชน์กับความคิด แล้วเราย้อนกลับมาให้ลึกซึ้งเขาไปสิ ความลึกซึ้งของใจ ลึกซึ้งเข้าไปว่าชีวิตนี้เกิดตายเพราะสิ่งนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ของโลกที่เกิดตาย เกิดตายอยู่นี่มันไม่มีที่สิ้นสุด แล้วการเกิดและการตายนี้มันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

ถ้าเราเกิดมาแล้วเราจะทำให้เราไม่เกิดอีก อันนั้นเป็นประโยชน์เข้ามา เราถึงปล่อยสิ่งนั้นไว้ ถ้าปล่อยสิ่งนั้นไว้ มันมีอาการการทำงาน ถ้าเราไม่ปล่อยสิ่งนั้นไว้ ความคิดมันจะวนออกไป แล้วมันเป็นเรื่องของโลกียะ มันเป็นจินตนาการ จินตมยปัญญา สุตมยปัญญา หมุนอยู่อย่างนั้น ไม่เข้ามา ไม่เข้ามาถึงความสงบของเราได้ นี่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันพุ่งออกไป

ตัณหาความทะยานอยากนี้เท่านั้นเป็นเรื่องที่เราจะต้องกำจัดมัน ตัณหาความทะยานอยากคืออวิชชาหรือกิเลสในหัวใจเราเท่านั้นเป็นการทำให้ปั่นป่วน ทำให้ขันธ์ ๕ นี้ไม่เป็นธรรมชาติ ขันธ์ ๕ นี้สักแต่ว่าขันธ์ ๕ ผู้ที่ผ่านขันธ์ ๕ ไปแล้ว แต่ผู้ที่ยังไม่ผ่านขันธ์ ๕ แล้วกิเลสอยู่ในหัวใจนี้ ขันธ์ ๕ นี้โดนมันจับมาพลิกแพลงมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ขันธ์นี้เป็นเครื่องมือของกิเลส กิเลสอาศัยขันธ์นี้เป็นที่ออกหาเหยื่อ กิเลสอาศัยขันธ์นี้ปลุกเร้าอารมณ์ของเรา แล้วเอาความทุกข์เข้ามาสะสมลงในหัวใจ

ความคิดที่เราวิ่งเต้นเผ่นกระโดดออกมา หามาเพื่อเรา เพื่อเรา เพื่อครอบครัวของเรา เพื่อเรา เพื่อความเป็นอยู่ของเรา เพื่อความมั่นคงของเรา เพื่อเราทั้งนั้น มันเป็นไปเพื่อเราจริงไหม ถ้าเพื่อเราก็เพื่อโลก เพื่อโลกก็เพื่อการเวียนตายเวียนเกิด ถ้าเพื่ออย่างนั้นมันเพราะกิเลสมันพาเกิด ถ้าเราเชื่อมันก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่เชื่อมัน ปัญญาความรอบรู้ในกองสังขารเกิดไหม

ปัญญารอบรู้ในกองสังขารก็ความคิดความปรุงความแต่งอันนี้ไง ความคิดความปรุงความแต่งที่มันคิดออกไปจากโลกมันหมุนออกไป แล้วปัญญารอบรู้ในกองสังขาร นี่ปัญญาสิ่งนี้เกิดขึ้นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิคือปัญญารอบรู้ในกองสังขารที่หมุนเข้ามา หมุนเข้ามา หมุนเข้ามา พอจิตมันหมุนเข้ามานี่กิเลสมันสงบตัวลงเฉยๆ กิเลสสงบตัวลงจนธรรมมันเกิดก็เป็นสัญญาความมั่นหมายรู้

มันถึงว่า เวลากิเลสสงบตัวลงแล้วมันถึงต้องคนมีอำนาจวาสนา สิ่งที่เป็นอำนาจวาสนาคือการหางานชอบ การงานชอบ งานในสติปัฏฐาน ๔ ทางอันเอกเกิดขึ้นแล้วเพราะจิตมันสงบเข้ามา แล้วจิตมันสงบเข้ามา “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส” จิตนี้เหมือนกับน้ำขุ่น ตอนที่ขุ่นเป็นโคลนเป็นตม สิ่งที่ขุ่นเป็นโคลนเป็นตม ถ้าจิตผ่องใสแล้วจะเห็นตัวปลา ถ้าเราหลงไปเพลินไปกับกิเลสมันหลอกลวงใจ สัญญาความมั่นหมายรู้ที่ว่าเราเรียนศึกษามา เราศึกษามาจากพระไตรปิฎก

มีมากมายเลยที่ทำความสงบของเราขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน “เอกัคคตารมณ์” จิตนี้เป็นเอก ทางอันเอก ทางเริ่มต้นเท่านั้น พอทางเริ่มต้นจะเดินไปในทางอะไร เดินไปในการวิปัสสนา งานจะชอบขึ้นมา มรรคอริยสัจจัง มรรค ๘ จะสมบูรณ์แบบสมบูรณ์แบบของมรรค งานชอบ ความเพียรชอบ ความดำริชอบ “สติระลึกชอบ” ระลึกรู้อยู่ในความสงบอันนั้น แต่ไม่ระลึกรู้อยู่ให้มันค้นคว้า การค้นคว้าอันนี้ ถ้าเจองานนี่มีอำนาจวาสนา ถ้าไม่เจองานอำนาจวาสนาก็อยู่ในมือของเรา

ครูบาอาจารย์นั้นจะเป็นคนผู้ชี้นำ ชี้นำให้ค้นคว้าให้เจอ ค้นคว้าให้เจอกายกับใจ กายไง ถ้าค้นคว้าเจอกายก็ได้กาย ถ้าค้นคว้าเจอใจก็ได้ใจ “รูป” รูปของจิตก็ได้ รูปของกายก็ได้ งานจะชอบ ชอบตรงนี้ ถ้างานชอบตรงนี้จับขึ้นมาแล้วค้นคว้าออกไป ถ้าไม่ได้ก็พยายามน้อมนึกไป น้อมนึกขึ้นมาให้เห็นภาพกาย เห็นภาพกาย

อันนี้เป็นอำนาจวาสนา จะบอกว่าอำนาจวาสนานี้มันเป็นจริตนิสัยมา ถูกส่วนหนึ่ง

นรกสวรรค์ข้างนอก ตายไปแล้วจิตทำคุณงามความดีแล้วตายไปจะเกิดในสวรรค์ จิตทำอกุศลไว้ตายแล้วตกนรกแน่นอนแน่นอน แน่นอน สวรรค์ในอกนรกในใจนี้เป็นเรื่องจริงโดยธรรมชาติ เพราะขณะนี้เรายังอยู่ในมนุษย์ชาติ ในชาติของมนุษย์อยู่ การทำคุณงามความดีมันให้ความสุขในมนุษย์ นั่นน่ะ สวรรค์นรกมันเผาในหัวใจ ถ้ามีความสุขมันจะมีความสุขมาก มันจะมีความสุขในหัวใจ พอใจอิ่มใจ เหมือนกับเป็นสวรรค์ในหัวใจ

ถ้าทำความเร่าร้อน ทำความผิดพลาดไว้แล้วปกปิดในหัวใจ เร่าร้อนในหัวใจ นรกชัดๆ เลย นั่นน่ะ มันเป็นเรื่องข้างนอก สวรรค์ในอกนรกในใจ มันเวลาเป็นไปออกไปข้างนอก อันนี้ก็เหมือนกัน อำนาจวาสนานี้ก็เหมือนกัน มันเป็นเรื่องอดีตอนาคตที่มันยังต้องเป็นไปใช่ไหม แต่ขณะนี้เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราประพฤติปฏิบัติธรรม เราประพฤติปฏิบัติธรรม เราเชื่อมั่นธรรมขนาดนั้น ทำไมเราไม่สามารถสร้างอำนาจวาสนาขึ้นมาด้วยมือของเราเอง

อำนาจวาสนาอยู่ในกำมือของเรา กำมือของเราจริงๆ นะ ถ้าเราพยายามค้นคว้า พยายามยกขึ้น ถ้าเรารำพึงไปเจอกายขึ้นมา นั่นน่ะ จะเห็นของจริง จะไม่เป็นสัญญาอารมณ์ สัญญาอารมณ์มันเป็นสัญญาความจำได้หมายรู้ แล้วจินตนาการไป พูดไปแจ้วๆ พูดไปเถิด มันจะเป็นอย่างไรมันไม่รู้เรื่องตามความเป็นจริง เพราะมันไม่เคยเห็นจริง มันอยู่ในกรอบของขันธ์ ๕

กรอบของขันธ์ ๕ มันจะเป็นกรอบของความคิดของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะพ้นไปจากกรอบของขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ ขันธ์ ๕ นี้ความคิดเพราะอะไร เพราะหัวใจนี้เหมือนพลังงานเฉยๆ แล้วพอมันส่งออกไปมันส่งออกผ่านขันธ์ ผ่านขันธ์นี้ใช่ไหม ถ้าไม่ผ่านขันธ์มันผ่านอะไร มันผ่านสื่อเพราะนี่เป็นธรรมชาติ มันเป็นตามความเป็นจริง ขันธ์ ๕ นี้เป็นมนุษย์ที่ว่าจะภาษาใดก็แล้วแต่ที่สมมุติสื่อสารกัน ความรู้ที่อ่านออกเขียนได้ นี่เป็นเรื่องสมมุติเป็นเรื่องของขันธ์ทั้งหมดเลย

สัญญาความจำได้หมายรู้แปลกลับไปเป็นภาษาใดภาษาหนึ่ง แปลกลับไปแปลกลับมามันก็เรื่องของขันธ์ทั้งนั้น เรื่องของสิ่งที่มีอยู่ เรื่องของสิ่งที่เราแปลไปแปลมา สิ่งที่มีอยู่ สัญญาความจำได้หมายรู้ก็เป็นสิ่งนั้น แล้วโดนไฟกระพือเข้าไปด้วยวิญญาณรับรู้ ความพอใจและความไม่พอใจ นี่มันกระพือไป

วิปัสสนาญาณคือกลับมาแยกแยะสิ่งนี้ ความแยกแยะสิ่งนี้ ความเห็นโทษของมัน วิปัสสนาจนเห็นโทษ สิ่งที่เห็นโทษ มันจะเห็นโทษมันจะปล่อยวางไปเรื่อย ปล่อยวางไปเรื่อย การปล่อยวางขันธ์ ปล่อยวางอารมณ์ชั่วคราวนี้มันเป็นอีกส่วนหนึ่ง ส่วนของการทำความสงบนั้นเป็นทำความสงบเข้ามาเพื่อให้กิเลสมันสงบตัวลง เราจะกำจัดกิเลส เราจะทำลายกิเลส เราต้องวิปัสสนาขันธ์นี้ที่อยู่ของกิเลสนี้เพื่อทำลายมัน ทำลายกิเลสนี้ออกไปจากหัวใจออกไปให้ได้

แต่ขณะทำความสงบเข้ามา ความสุขในสมถกรรมฐาน สมถกรรมฐานคือความสงบของใจ ความสงบของใจที่เชื้อโรคยังมีอยู่ คนนี้เป็นโรคเป็นไข้อยู่ ไข้ทุเลาลงเฉยๆ ความที่ไข้ทุเลาลงเราก็มีโอกาส ความทุกข์ในไข้นั้นน้อยลง แต่ไข้นั้นอยู่ในหัวใจแน่นอน สักวันหนึ่งไข้นั้นจะแสดงตัวออกมาเพราะเชื้อของไข้นั้นไม่ได้โดนกำจัดไป

อันนี้ก็เหมือนกัน ทำความสงบของใจ สมถกรรมฐานนั้น มีแต่เชื้อของไข้นั้นสงบตัวลง มีความสุขชั่วคราว ความสุขชั่วคราว ความสุขอันนั้น สุขเพราะไข้สงบตัวลง สุขเพราะกิเลสมันเปิดให้หายใจเฉยๆ ธรรมดากิเลสทำให้เร่าร้อนมาก รุ่มร้อนในหัวใจ แล้วสงสัยไปทั่ว แล้วมันพักตัวลง ดับเครื่องชั่วคราว

เครื่องติดแล้วก็ติดหมุนไปตลอดชีวิต หลับก็ฝัน นอนหลับก็ฝัน ฝันของมันไปนะ ฝันอยู่อย่างนั้นถ้าไม่หลับสนิท ถ้าหลับสนิทลงไป นั่นน่ะ พักเครื่องได้ชั่วคราวเหมือนกัน แต่พักเครื่องได้เป็นการพักเครื่องโดยธรรมชาติของมัน แต่อันนั้นมันเป็นสิ่งที่ว่ามันไม่ให้พลังงาน แต่ถ้าว่าเราทำความสงบของใจ มันจะชุ่มชื่นมีความสุขมาก ถ้าจิตสงบขึ้นมานะ เหมือนกับเราได้พักผ่อนมาสดชื่นแจ่มใสมากเลย นี่ความสุขต่างกันมากเลย

แล้วเรามาวิปัสสนา จับงานได้ด้วยอำนาจวาสนาของเรา ถ้าไม่ได้พยายามเข้าไป พยายามเข้าไป ต้องได้สักวันหนึ่ง อันนี้อำนาจวาสนาอยู่ในมือ นี่อำนาจวาสนาอันนี้ก็อันหนึ่ง ส่วนนี้เป็นส่วนอดีตชาติ เราไม่ไปคำนึงถึงมัน แต่ปัจจุบันธรรมนี้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องปัจจุบัน เราแก้ไขกันนี้เราแก้ไขกันที่ปัจจุบัน เราพยายามทำของเราทำของเรา

ถ้าได้ขึ้นมาแล้วจับวิปัสสนาอย่างนี้ วิปัสสนาไป เห็นไหม มันไม่ใช่สัญญา สิ่งที่เป็นสัญญาคิดไปเหมือนกับเหล็กท่อนหนึ่ง เราอ่านพระไตรปิฎกมาว่ามันเหมือนกับเป็นปัญญาๆ เหล็กทั้งท่อน เหล็กทั้งท่อนเอาไปทุบเอาไปตีมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ถ้าทุบอย่างอื่นมันก็เหลวไปเฉยๆ เหล็กทั้งท่อนเราใช้สัญญาความจำได้หมายรู้จากครูบาอาจารย์มา ครูบาอาจารย์บอกปัญญาจะเป็นอย่างนั้น ปัญญาคือการใคร่ครวญ ปัญญาคือขุดค้นคว้า ปัญญานี้กว้างขวางมาก ปัญญานี้แยกแยะออกไป เราก็จินตนาการไปแบบนั้น

มันต้องทำบ่อยๆ เหมือนกับเหล็ก เราตีเหล็ก เราตีเหล็กจากที่เป็นแท่งเป็นอัน เราตีให้เป็นมีดขึ้นมา มีดขึ้นมามันจะสับได้ ตีเหล็กบ่อยๆ คือปัญญาของเราที่ใคร่ครวญบ่อยๆ มันจะคมกล้าเข้ามาเป็นปัญญาของเรา เป็นปัญญาของเรา เห็นไหม เกร็ดมันเกิดตรงนี้ ถ้าเราวิปัสสนา เราพยายามทำของเรา เกร็ดมันจะเกิดตรงนี้

เกิดตรงที่ว่า ปัญญาความใคร่ครวญของเรามันเป็นปัญญาของเรา ถ้าเป็นปัญญาของเรา ปัญญากับสัญญา สัญญาความจำได้หมายรู้นี่ชุบมือเปิบเอามาเป็นดุ้นๆ แล้วใช้สัญญาอันนั้นจะให้ชำระกิเลส ถ้ากิเลสมันฉลาดนะ กิเลสถ้ามันฉลาด แต่มันฉลาดจริงๆ มันจะพยายามสงบตัวลง หลบตัวลง กิเลสยุบยอบ กิเลสหลบตัวลง นี่พอหลบตัวลงมันก็ปล่อยวาง ปล่อยวาง ว่างๆ ปล่อยวางชั่วคราวนะ อันนี้กิเลสมันไม่ขาด นี่สัญญาเป็นแบบนั้น แล้วก็จินตนาการได้แบบนั้น

ทหารออกรบแล้วแพ้ แพ้มาแพ้มา แต่แพ้อย่างนี้โดนกิเลสหลอก ๒ ชั้นนะ ชั้นหนึ่งกิเลสไม่ขาด กิเลสปล่อยวาง แล้วเราไปเชื่อมั่นก่อน เราไปเชื่อใจของเรา เราเชื่อมั่นเราว่า เรานี่รักตน เราทำแล้วเราต้องเห็นผลตามความเป็นจริง พอมันปล่อยวางเราก็ว่าใช่ ว่าใช่ พอว่าใช่มันให้โทษ ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ

ชั้นหนึ่งเวลาปล่อยออกมาจากข้างนอก เวลาออกมามันคลายตัว สมาธิมันคลายตัวออกไป พอออกมาข้างนอก ออกมาถึงข้างนอก มันก็จะเกิดการกระทบ สิ่งที่กระทบก็ เอ! ทำไมเราปล่อยวางแล้ว ทำไมมันมีอารมณ์กระเทือนล่ะ กระเทือนหัวใจ

มันกระทบตัวตนไง เพราะตัวตนกับใจนี้ไม่ได้แยกออกจากกันเลย แล้วถ้าตัวตนนี้ไม่ได้แยกออกจากกัน สิ่งนั้นต้องมีอยู่ใช่ไหม พอกระทบอารมณ์มันก็จะเกิด มันก็สร้างสัญญาหลอก หลอกอีกนะว่าเราผ่านกิเลสแล้ว สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของมันที่จะเกิดขึ้นมาเอง นี่มันเป็นสัญญาอารมณ์จากภายใน แล้วยังเป็นสัญญาอารมณ์จากภายนอก แล้วอธิบายเวลาสื่อความหมายออกมา นี่ปล่อยว่าง มันว่างแล้ว แล้วสิ่งที่กระทบนี่อะไร สิ่งที่กระทบแล้วต้องวางเฉยมัน เห็นไหม ปล่อยว่างวางเฉย ปล่อยว่างวางเฉย

เพราะมันไม่มีสมุจเฉทปหาน มันไม่เห็นเกิดปัญญาตามความเป็นจริง ถ้ามันเกิดปัญญาตามความเป็นจริง สิ่งที่เป็นอาวุธ สิ่งที่เป็นอาวุธของเรา ครูบาอาจารย์จะสอน ในมุตโตทัยของหลวงปู่มั่น “หมั่นคราด หมั่นไถ” ปัญญาที่คมกล้าของเราที่เราตีด้วยมีดด้วยเหล็กเป็นแท่งเป็นอันขึ้นมา เป็นมีดแล้วต้องหมั่นฟัน ถ้ามันฟันเข้าไปแล้วมันไม่ขาด นั่นน่ะ พลังงานของเราไม่พอ ถ้าพลังงานของเราไม่พอต้องถอยกลับมาทำความสงบของใจขึ้นมา ทำความสงบของใจแล้วกลับไปลับ

ขันธ์ ๕ นี้ เป็นที่การฝึกปัญญา ปัญญามันจะฝึกฝนได้มันจะฟันบ่อยๆ ฟันลงไปที่ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี่ฟันลงไป คือวิปัสสนาเข้าไปตรงนั้น คือฟันเข้าไป ถ้าฟันเข้าไปไม่เข้า มันก็ต้องกลับมากลับมาลับมีดให้คมเข้าไป ฝึกการปัญญาอีก นั่นน่ะ ตีเหล็กเขาต้องตีอย่างนั้น ตีเหล็กคือตีปัญญาของเราให้เกิดขึ้นมาให้เป็นสมบัติส่วนตน

“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน กิเลสในหัวใจดวงใด หัวใจดวงนั้นต้องชำระกิเลสจากใจดวงนั้นด้วยสัจจะความจริงของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะใช้สัญญาอารมณ์คือการยืมมาเป็นสัญญาเข้ามาชำระล้างกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นไปไม่ได้เพราะว่าอะไร

เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากนั้น มันเป็นเรื่องระหว่างประเทศ ระหว่างประเทศๆ หนึ่ง ระหว่างข้ามภพ ข้ามตัวตน ข้ามบุคคล บุคคลคนหนึ่ง สัตว์โลกๆ หนึ่ง โลกคือสัตว์มนุษย์ สัตว์คือเรา เราเป็นสัตว์มนุษย์ สัตว์โลกตัวหนึ่ง โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือเรา ก็เหมือนกับโลกประเทศๆ หนึ่ง แล้วเราไปเอาเรื่องของข้างนอกมาชำระ มามายึดอธิปไตยของเราได้อย่างไร

อธิปไตยของเรา กิเลสของเรา มันเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา การชำระต้องสัตว์โลก สัตว์ตัวนั้นเป็นผู้ทำลายอธิปไตยของตัวเอง กิเลสในหัวใจของเรา เราต้องชำระล้างในหัวใจของเรา อธิปไตยของเราคืออธิปไตยของกิเลสตัวนั้นมันต้องโดนทำลายไปจากหัวใจของเรา มันเป็นอย่างนั้น มันถึงต้องว่าเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน

วิปัสสนาหมุนเข้าไปบ่อยเข้า บ่อยเข้า บ่อยเข้า การทำบ่อยเข้ามันต้องเป็นการที่ว่ามีความมานะมีความอดทน คนเรามีมานะมีความอดทนมันสามารถทำได้

๑. กิเลสมันหลอก

๒. เป็นจริตนิสัยจะชุบมือเปิบ

มันจะเป็นไปตามจริงหรือไม่เป็นไปตามความเป็นจริง พยายามสร้างเหตุการณ์ขึ้นมา นี้แหละสัญญา สัญญาความจำได้หมายรู้ ก็อปปี้ออกมาจากของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์สอนมาแต่ละองค์แต่ละองค์ ไปสัญญาจำได้หมายรู้มา ฟังธรรมมาเพื่อเป็นประโยชน์ สัญญาออกมาแล้วกิเลสมันใช้สัญญานั้น กิเลสในหัวใจของเราใช้สัญญานั้น พลิกแพลงสัญญานั้นมาเป็นมีดบาดคอเราเอง มาเป็นอาวุธเชือดเฉือนตัวเอง ทำลายตัวเอง

ตัวเองอยากจะประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อให้เห็นธรรมขึ้นมาในหัวใจ ทำไมให้สิ่งที่ว่าควรจะเป็นประโยชน์ ศาสนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นธรรมาวุธ ธรรมมวุธเพื่อชำระกิเลส แล้วเราเกิดมาในพระพุทธศาสนา พบธรรมาวุธอันนั้นพยายามจะเข้ามาจะชำระจิตใจของเรา นี่เป็นสัญญา เป็นความจำได้หมายรู้เข้ามา มันก็ฝึกฝนขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา

จนถึงกับเราจะชำระกิเลสนะ จนถึงกับมรรคอริยสัจจังหมุนออกไปแล้ว ทำไมให้กิเลสมันมาหลอกอีกล่ะ ทำให้สัญญาความจำได้หมายรู้ปัดแข้งปัดขาให้เราพลิกแพลงออกไป จนถึงกับว่าไม่ให้มันสมควร มรรคสามัคคี มรรครวมตัว ให้สมุจเฉทปหานให้เป็นความจริงของใจดวงนั้น นี่กิเลสมันใช้สัญญา กิเลสมันใช้เวทนาหลอกเรา เราก็เห็นชัดๆ กิเลสใช้สังขารปรุงแต่งหลอกเรา เราก็เห็นชัดๆ

การทำลายการต่อสู้กันซึ่งๆ หน้ากับกิเลสที่กำลังจะต่อสู้กันอยู่นี่ ทำไมให้สัญญาสิ่งที่ละเอียดอ่อนหลอกเราได้ล่ะ สิ่งที่เป็นสัญญาความจำได้หมายรู้นี้มันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน เหมือนพยับแดด ในพระไตรปิฎกบอกพยับแดด แต่เราว่าพูดถึงว่าเหมือนกับการจุดประกายไฟขึ้นมา แล้วให้สิ่งนั้นเหมือนกับไม่มีค่าใดๆ เลย แต่มันเป็นตัวจุดเริ่มต้นแล้วมันให้ค่ามา

เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็เหมือนกัน เราก็ให้ค่าสิ่งนั้น เราศึกษาของครูบาอาจารย์มาเราก็ให้ค่าสิ่งนั้น พอให้ค่าสิ่งนั้น ไฟ วิญญาณตัวรับรู้มันสาดไฟเข้าไป สาดไฟเข้าไปก็โหมเข้ามา นี่มันควรจะเป็นปัญญา ควรจะเป็นวิปัสสนาญาณ มันทำไมเป็นเรื่องของให้กิเลสมันพาใช้ล่ะ กิเลสมันพาใช้ มันก็กลิ้งไปน่ะสิ อย่างนี้ต่างหากถึงเป็นสัญญาความมั่นหมาย มันมั่นหมายเพราะว่ามันมั่นหมายจากข้างนอกเข้ามา มั่นหมายมาจากอธิปไตยของโลกอื่น มั่นหมายมาจากของครูบาอาจารย์

ความมั่นหมายมาจากของครูบาอาจารย์มันไม่เป็นเอกลักษณ์ มันไม่เป็นความรู้เฉพาะตน มันไม่เป็นปัจจุบันธรรมที่จะชำระกิเลสได้ ถ้ามันเป็นเอกลักษณ์ มันเป็นปัญญาชำระกิเลสของแต่ละบุคคล อันนั้นอธิปไตยของชาตินั้น อธิปไตยของสัตว์โลกนั้น โลกคือหมู่สัตว์ที่หมุนเวียนไป มันจะทำลายโลกออกมาเป็นชั้นๆ นะ นี่ธรรมาวุธมันประเสริฐอย่างนั้น เราถึงจะทำให้ผิดพลาดตรงนี้ไม่ได้

เราพยายามทำให้มีความละเอียดสุขุม เราต้องสุขุมขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของตัวเราเองนะ เพื่อประโยชน์กับสัตว์โลกตัวนั้น สัตว์โลกตัวนั้นจะได้มีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ เพราะทำลายสัญญาความจำได้หมายรู้ออกไป จนมันเป็นปัญญาโดยธรรมชาติ เป็นปัญญาโดยเกิดจากธรรมทั้งหมดที่หมุนขึ้นมาจากในหัวใจ มันจะคละ มันจะหมุนออกไป แล้ววนกลับมา

สัมปยุตกลืนกินเข้าไปรวมกันเป็นมรรคสามัคคี สัมปยุตรวมเข้าไป แล้วเป็นวิปยุตคลายตัวออกมา คลายตัวออกมา ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกออกจากกัน สังโยชน์ขาดออกไปตามความเป็นจริง เห็นไหม มันต้องเห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ เกร็ดอย่างนี้มันเป็นเกร็ด

แต่ถ้าพูดถึงเกร็ด เกร็ดเพราะอะไร เพราะเป็นสาวกะ เป็นสัตว์โลกผู้ที่แสวงหาทางออก แต่มันจะเป็นเอกลักษณ์ มันจะเป็นอริยสัจ มันจะเป็นความจริงจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะรู้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น อันนี้ต่างหากเป็นคุณธรรมจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นได้ธรรมอย่างนี้มาเป็นสมบัติของใจดวงนั้น

มันจะเป็นสัญญามาจากไหน มันจะเป็นความจริงจากใจดวงนั้น ไม่ใช่สัญญาทั้งหมดเลย มันเป็นความจริง ความจริงกับสัญญาต่างกัน สัญญานี้เป็นขันธ์ที่ว่ามันมีอยู่ในหัวใจ ความจริงนี้สร้างออกมาจากขันธ์นี้ยกขึ้นยกขึ้น จนมันหมุนออกไป จนเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญามันหมุนออกไป มันเคลื่อนออกไป แล้วเห็นตามความเป็นจริงว่ากลับมาชำระกิเลสออกไปจากหัวใจ กิเลสนี้ขาดออกไปจากใจด้วยปัญญา ภาวนามยปัญญาอันนี้

จิตดวงนั้นเป็นอริยบุคคลขึ้นมา จิตดวงนั้นไม่ใช่สามัญชน จิตดวงนั้นเป็นสิ่งที่ว่าเป็นสมบัติตน เป็นอกุปปะ มันถึงไม่ใช่สัญญา ถ้าเป็นสัญญาความจำได้หมายรู้มันเป็นอกุปปะไปได้อย่างไร มันเป็นเพชรน้ำหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไร

มันเป็นเพชรขึ้นมาจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นล้มลุกคลุกคลานนะ สัตว์โลกหมุนเวียนไป มันจะไปตามสัตว์โลก หมุนเวียนไปล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหนมันก็เป็นไปตามใจดวงนั้น ใจดวงนี้โดนกระชากลากถูไป ตามแต่กิเลสมันจะผลักไสไป แล้วมันทำได้เห็นขึ้นมาจากหัวใจ มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐขึ้นมาจากใจดวงนั้น มันทำไมไม่เป็นสิ่งที่ว่ามีคุณค่ากับใจดวงนั้นล่ะ มันถึงเป็นคุณค่า อันนั้นเป็นอกุปปะไง

สิ่งที่เป็นอกุปปะคือมันไม่เสื่อมสภาพอีกแล้ว ใจดวงนั้นไม่เสื่อมสภาพอีกแล้ว

ธรรมอย่างหยาบๆ ธรรมอย่างกลาง ธรรมอย่างละเอียด ธรรมอย่างละเอียดสุด นี่สัญญามันละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ขันธ์นอก-ขันธ์ใน-ขันธ์ในขันธ์ กรอบของใจเป็นชั้นๆ เข้าไป เหมือนกับที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากะเทาะจากเปลือกไข่ เปลือกไข่คือกรอบของขันธ์ ๕ ไอ้ตัวของหัวใจนั้นคือไก่ตัวนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ทำความรู้สึกของเราคือหัวใจ มันอยู่ในความรู้สึกของเรา มันโดนกรอบอันนี้ แล้วเราคิดเราจับเข้าไป มันกระทบกรอบตลอดเวลานะ มันกระทบกรอบนี้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นอุปกรณ์ ถ้าไม่มีกรอบอันนี้เราจะเอาอะไรวิปัสสนา ขนาดที่ว่าเรามีกรอบมีธุาต ๔ มีขันธ์ ๕ อยู่โดยปัจจุบันนี้เรายังจับกรอบอันนี้ไม่ได้ เรายังเริ่มต้นงานของเราไม่ได้เลย

แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไป เขาต้องเอากรอบนี้ เอาธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี้มาเป็นเนื้องาน มาเป็นวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาเข้าไป จับเข้าไปทำความสงบเข้าไป ผลของใจนั้นเป็นผลของใจ สัมมาสมาธิเกิดขึ้นมาต้องทำความสงบเข้าไปเรื่อยๆ มันมีงานอันหนึ่งขึ้นมาในหัวใจแล้ว สัญญาก็รู้ว่าเป็นสัญญา ปัญญาก็รู้ว่าปัญญา สิ่งที่ขาดออกไปจากใจก็รู้ว่าขาดออกไปจากใจ สิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นธรรมดามันบุบสลายไปเป็นธรรมดา

เห็นซึ่งๆ หน้าในหัวใจ เป็นปัจจุบันธรรม เป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตน เรียกสัตว์มาดูด้วย โอปนยิโก น้อมเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรมๆ ธรรมในหัวใจดวงนั้นเรียกใครมาดู? ก็เรียกไอ้อวิชชา เรียกไอ้ตัณหาความทะยานอยากที่เมื่อก่อนเราหลงใหลได้ปลื้มไปกับมัน นั่นน่ะ เดี๋ยวนี้เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว ชนะความเห็นอันนี้มันชนะขึ้นไปมันก็ผ่านพ้นไปขั้นหนึ่ง เราก็ต้องทำความวิริยอุตสาหะของเราก้าวเดินต่อไป ก้าวเดินต่อไปในความเห็นอันละเอียดนั้น

ในความเห็นอันละเอียดนั้นก็เหมือนกัน สัญญาความละเอียดนี้ละเอียดสุด ละเอียดจริงๆ มันแทบจะทำให้เราเห็นไม่ได้ สิ่งที่เห็นไม่ได้เพราะเราจับต้องมันไม่ได้ กรอบอันนอกกรอบที่หยาบ กับกรอบที่เป็นละเอียดอยู่ภายใน เราจะจับกรอบอันนี้ได้มันต้องเข้าไป

แต่ถ้าจับเรื่องของกาย กรอบของกายคือธาตุ ๔ อันนี้ยังจับต้องได้อยู่ พิจารณากายซ้ำเข้าไปเลย พิจารณาซ้ำเข้าไปแยกเหมือนกัน พิจารณาแยกแยะเหมือนกัน ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ มันแยกออกจากกันถ้าพิจารณากาย

ถ้าพิจารณาจิตเหมือนกัน เป็นอุปาทาน อุปาทานในขันธ์ ๕ นั้น ตัดขันธ์ ๕ นั้นเป็นตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งนั้นไม่เป็นตัวตน แต่จิตที่เป็นอุปาทานนั้นวิปัสสนาเข้าไป วิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่านะ ถ้าไม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันหลอกตลอด การงานทุกส่วนแล้วกิเลสนี้ไม่ยอมให้เราก้าวเดินไปโดยธรรมชาติของมัน กิเลสนี้จะต่อสู้พลิกแพลงไม่ให้เราก้าวเดินไปตามนั้น สัญญาความจำได้หมายรู้ สัญญาแน่นอน แล้วสัญญานี้มีเครื่องรองรับกับสัญญา

กิเลสคิดกิเลสปรุงแต่งนี้เชื่อได้ง่าย กิเลสคิดกิเลสปรุงแต่งนี้เอาแต่คำสั่งสอนของครูบาอาจารย์มาเป็นโจทย์ แล้วก็คิดตามนั้นคิดตามนั้น นั้นคือสัญญาความจำได้หมายรู้ สัญญาความจำได้หมายรู้เอาอธิปไตยของผู้อื่นมา เอาความเห็นของผู้อื่นมา เอาข้อมูลของผู้อื่นมา ของครูบาอาจารย์มาตั้งมาวิเคราะห์ นั้นคือสัญญา วิเคราะห์อย่างนั้นแล้วก็ปล่อยๆ อยู่อย่างนั้น ซ้ำอยู่อย่างนั้น อันนี้เป็นการยืมมา สิ่งที่ยืมมา คือการครูบาอาจารย์สั่งสอนมานี้เป็นประโยชน์อันหนึ่ง ประโยชน์ในการยืมมาเรายืมมาเพื่อเป็นต้นทุนของเรา

จากต้องยืมมา จะเป็นสัญญาก็ต้องยอมรับว่าเป็นสัญญาไปก่อน เริ่มต้นการวิปัสสนานะ ถ้าจะไม่ยอมรับว่าเป็นสัญญาเลยนี่เราจะทำอะไรไม่ได้เลย เพราะในสัญญานี้ ในขันธ์ ๕ นี้มันเป็นอุปกรณ์ที่ว่าเป็นอุปกรณ์จริงๆ การแยกแยะให้ขันธ์ ๕ นี้บริสุทธิ์ออกไป

ถ้ากิเลสมันหลุดออกไปจากขันธ์ ขันธ์นี้ก็จะสะอาดขึ้นเรื่อยๆ สะอาดขึ้นเรื่อยๆ

วิปัสสนาซ้ำไปซ้ำไป จนมันแยกออกไปจากกัน กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ถ้าวิปัสสนาในเรื่องของกาย แยกออกเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ แยกออก แล้วจิตจะแยกออกไป ถ้าพิจารณาในขันธ์ ๕ มันจะแยกออกจากกันเหมือนกัน แยกออกไปเลย เห็นชัดเจนมาก นี้ถึงว่าไม่ใช่สัญญา นี้เป็นความจริง ความจริงที่เกิดขึ้นจากหัวใจนั้น

เวทนานอก-เวทนาใน-เวทนาในเวทนา เห็นไหม ขันธ์อันใน ขันธ์อันละเอียดนี้ จับต้องได้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ จับต้องได้ยากมาก นี่พยับแดด พยับแดด เราคิดขึ้นมาเป็นเราทั้งหมด การวิปัสสนา การขุดคุ้ยหางานนี้เป็นเรื่องที่ลำบากที่สุด การขุดคุ้ยหางาน ถ้ามันขุดคุ้ยหางานไม่ได้ มันก็จะอยู่อย่างนั้น เหมือนกับอำนาจวาสนาของเรานั้นน่ะ คำว่า “อำนาจวาสนา” มันไม่เจอ ถ้าไม่เจอมันถึงเป็นอย่างไร

นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันอยู่อย่างนั้น อยู่อย่างนั้นไปตลอด พระบางองค์เป็นพระอริยบุคคลเป็นขั้นเป็นตอน นี่เพราะว่าหาไม่เจอ ถ้ามันเป็นการหาเจอมันเป็นอัตโนมัติ นางวิสาขานี้ต้องเป็นพระอรหันต์ไปสิ เพราะนางวิสาขานี้เป็นพระโสดาบัน ครูบาอาจารย์ที่สำเร็จเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไปต้องสำเร็จหมดสิ พอเป็นพระโสดาบันแล้วต้องเป็นพระอรหันต์ไปทั้งหมด

ทำไมพระอานนท์เป็นพระโสดาบันแล้ว พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ไม่มีครูสอนยังกลัว เห็นไหม ผู้ที่มีปัญญาอย่างนั้นยังต้องการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ที่ทางไว้ตลอด แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ท้อใจนะ

“กิเลสของเรายังมีอยู่ในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะมาด่วนปรินิพพานไปเสีย แล้วเราจะเอาใครเป็นคนสอน” แม้แต่พระอานนท์เป็นนักปราชญ์ ขนาดนั้นยังต้องการควาญช้างไว้ประจำช้างเพื่อจะให้ชี้ทาง แล้วเราจะนอนใจอยู่ได้อย่างไร

ย้อนกลับมาสิ เอาความคิดอย่างนี้แล้วย้อนกลับมาที่หัวใจเรา ว่าทำไมเราไม่มีความคิดอย่างนั้น หัวใจของเราไม่มีความคิดอย่างนั้น ถ้าเรามีความคิดอย่างนั้นมันจะตื่นตัว สิ่งที่เราตื่นตัวขึ้นมามันเป็นงานของเรา การตื่นตัวขึ้นมา การเปิดหัวใจ การหงายภาชนะสำคัญที่สุดนะ ถ้าเรามีการตื่นตัว เรามีความพอใจ เราหงายภาชนะขึ้นมา ธรรมนั้นจะเข้าถึงหัวใจเรา

ถ้าเราทำไม่ได้แล้วเราท้อถอย เหมือนกับเราคว่ำภาชนะลง ถ้าเราคว่ำภาชนะลง ธรรมอันไหนมันจะเข้าภาชนะที่คว่ำไว้? มันจะเข้าไม่ได้ เราถึงต้องปลุกใจของเราอยู่ตลอดเวลา ปลุกใจของเราให้มั่นคงในศาสนา ให้มั่นคง ศรัทธาความเชื่อนี่มันหงายภาชนะขึ้นมา พอหงายภาชนะขึ้นมา เราพยายามทำของเราไป ค้นคว้าเข้าไป

สัญญาอันละเอียด ละเอียดมากละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกัน จนสติปัญญาจับต้องแทบไม่ได้ เห็นไหม ถึงต้องเป็นมหาสติ-มหาปัญญาจับต้องสัญญาอันละเอียดอันนี้ สัญญาอันละเอียดนี้หลอกไป กายกับจิตนี้แยกออกจากกันแล้ว แล้วก็เวิ้งว้างไป จะเข้าใจว่าอันนี้เป็นธรรม จะติดอยู่ตรงนี้ว่าตรงนี้เป็นวิมุตติ ติดอยู่ตรงนั้นเลย ถ้าติดอยู่ตรงนี้ นี่สัญญาชัดๆ สัญญาความจำได้หมายรู้

วิมุตติใครเป็นคนพูด ความรู้นี้ใครเป็นคนพูด? มันคือสัญญาใช่ไหม นี้คือสัญญาอารมณ์

ถ้าพยายามทำความสงบเข้ามา แล้วย้อนกลับเข้ามา สัญญาอารมณ์ความคิดว่าใครเป็นคนวิมุตติ วิมุตติมาจากไหน ใครเป็นคนให้ค่าความวิมุตติ สิ่งที่ให้ค่านั้นคืออะไร?

สัญญาความจำได้หมายรู้ ให้ค่า

สัญญาความจำได้หมายรู้ กิเลสใช้

สัญญาความจำได้หมายรู้ นี้เป็นพยับแดด

พยับแดดที่ใจนี้กระทบกันเฉยๆ ออกมามันละเอียดอ่อนจนต้องใช้มหาสติ-มหาปัญญาเข้าไปจับ จับสิ่งนี้แล้วแยกแยะ แยกแยะนี้เล่ห์เหลี่ยมของกิเลสอันนี้มหาศาล เป็นน้ำป่าที่พยายามจะทำลายเราทั้งหมดเลย ทำลายทุกอย่างทำลายหมดนะ ทำลายความประพฤติปฏิบัติเราให้ล้มลุกคลุกคลาน เพราะเขาไม่ต้องการให้พ้นไปจากอำนาจของเขา

กิเลสนี้มีอำนาจมาก กิเลสนี้จะเอาใจไว้เป็นขี้ข้าของเขา

ความจำได้หมายรู้สัญญาตัวนี้จะยึดมั่นถือมั่น แล้วจะให้ค่าว่าสำเร็จๆ คือจะให้ค่าว่าปล่อยวาง ให้ค่าว่าจะเป็นไปได้ มันหลอกยิ่งกว่าข้างล่างมหาศาลเลย ข้างล่างนี้เป็นสัญญาอย่างหยาบๆ สัญญาอันอย่างละเอียดนี้จะให้ค่าอย่างมหาศาล

แล้วว่าจะปล่อยวางเวิ้งว้างไป เราก็เชื่อนะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ตรงนี้ก็เชื่อ เชื่อความปล่อยว่างอันนั้น เพราะมันเวิ้งว้างยิ่งกว่านั้น เพราะมันไม่มีเรื่องของกายเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว มันเป็นเรื่องของนามธรรม ขันธ์นี้เป็นขันธ์เรื่องของจิต ระหว่างจิตกระทบกัน จิตกับขันธ์กระทบกันเป็นหนึ่งเดียว กระทบกันอยู่อย่างนั้น แล้วพอมันว่างมันก็เวิ้งว้าง นี่มันหลอกให้เป็นไป เอาสิ่งที่ว่าเทียบเคียงมาจากคนอื่นเอาเข้ามาเป็นตัวอย่าง แล้วก็ปล่อยวาง ปล่อยวาง มันยังจับไม่ได้

พอจับได้ขนพองสยองเกล้า ลึกซึ้งตื่นเต้นมาก อันนี้คือสัญญาอันละเอียด พยับแดดที่มันอยู่ข้างนอกนั้นเป็นพยับแดดเป็นเครื่องหมายที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก แต่ความที่ว่ามันอุ่นหัวใจขึ้นมาเป็นความคิดเริ่มต้นในหัวใจนี่มันละเอียดอ่อนขนาดนั้นไม่มีสิ่งที่จะเข้ามากระทบได้ นี่คือกรอบของใจ คือขันธ์ ขันธ์อันละเอียดที่จับต้องได้ นั่นน่ะ วิปัสสนาสิ่งนั้นต้องใช้กำลังรุนแรงอย่างมหาศาล ทุ่มทั้งชีวิต

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงพยายามจะขอความหลีกเร้น ออกธุดงค์ ออกธุดงค์เพราะเหตุนี้ พระที่ออกธุดงค์กันก็เพราะต้องการเวลา ต้องการเวลามาก ไม่ต้องการให้คนอื่นเข้ามายุ่งกับเรา ถ้าเข้ามายุ่งกับเรา เราจงใจ เราตั้งใจจะชำระกิเลสของเรา เราจงใจตั้งใจทำงาน แล้วมันมีภาระรุงรังเข้ามานี่มันจะเดือดร้อน มันไม่ต้องการสิ่งนั้น มันจะเข้าหาความสงบอย่างเดียว

แล้ววิปัสสนาทำอยู่ตรงนี้ล้มลุกคลุกคลาน จะเลือดโชกขนาดไหน จะกลิ้งไปโดนกิเลสพาหลอกกลิ้ง กลิ้งไปตามกิเลสนั้น กลิ้งอยู่อย่างนั้น ต้องพยายามสร้างสมขึ้นมา ปัญญาจะเตาะแตะ เตาะแตะแต่ละขั้นแต่ละตอน เตาะแตะขึ้นมาเป็นชั้นๆ ขึ้นมา เราพยายามเตาะแตะขึ้นมา

แต่มีอันหนึ่ง คือว่าอำนาจวาสนา ไม่เชื่อไง สัญญาจะหลอกขนาดไหนก็ไม่เชื่อ ต้องเทียบค่า เวิ้งว้างขนาดไหน

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” อันนี้ยังเข้าไม่ถึงนะ อันนี้เป็นขันธ์เฉยๆ ไม่ใช่ตัวจิตด้วย แต่มันก็จะบอกอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะขณะเวลาที่เราก้าวขึ้นไปมันมองไม่เห็น มันไม่รู้ มันจะให้ค่าไว้สูง เหมือนเด็กไม่เคยมีเงิน เด็กไม่เคยมีเงินได้สักล้านสองล้าน อู้หูย! มหาศาลนะ แต่เศรษฐีนะเงินล้านนี้ไม่มีค่าสำหรับเขาเลย เขาต้องเป็นพันๆ ล้าน ถ้าพันล้านขึ้นมา เขาจะ เออ! ค่อยมีค่ามาหน่อยหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน เราเศรษฐีใหม่ ผู้ที่ก้าวเดินเข้าไป ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่เข้าไป เหมือนเศรษฐีใหม่เข้าไป ไปเจออะไรเข้ามันจะตื่นเต้นไปกับสิ่งนั้น แล้วจะเชื่อ พอเชื่อขึ้นมามันก็ปล่อยวาง ปล่อยวาง นี่กิเลสหลอก สัญญาความมั่นหมาย สัญญาความจำได้หมายรู้จะหลอก หลอกหัวใจให้เชื่อในเหตุนั้น ถ้าเชื่อในเหตุนั้นก็จะติดอยู่ตรงนั้น ติดอยู่ตรงนั้นไปไม่ได้เลย

แต่ถ้าเรา พอมันออกมามันตรวจสอบอารมณ์ได้ อารมณ์ออกมาข้างนอกมันจะตรวจสอบ เห็นว่าอันนี้ไม่จริงอันนี้ไม่จริง ถ้ามันจริง กามมันต้องขาดไป ขันธ์นี้เป็นเรื่องของกามราคะ ปฏิฆะ-กามราคะ เรื่องของขันธ์อันละเอียดนี้ สัญญาความจำได้หมายรู้ เรื่องของหญิงของชาย ตรงนี้มันเป็นตัวจำเลย ตัวนี้เป็นตัวสร้างโลกเลย วิปัสสนาเข้าไปตรงนี้ แล้วความต่อต้านมันจะรุนแรง

ถ้าวิปัสสนาเข้าไปเต็มที่โดยเราละเอียดอ่อนตลอดเวลา มันจะต้องทำลายไปโดยธรรมชาติของมัน เพราะอะไร เพราะไม่มีสิ่งใดกิเลสตัวใดเลย จะทนกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ธรรมาวุธขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระกิเลสมาตั้งแต่ต้น แล้วทำไมจะชำระกิเลสตรงนี้ไม่ได้ ชำระได้ด้วยความจริงจังของเรา ด้วยการสร้างธรรมขึ้นมา

ธรรมจะเกิดขึ้นมาจากหัวใจที่ว่าเตาะแตะนั้นน่ะ จนคมกล้าแก่กล้าขึ้นมา ปัญญาความคิดความไตร่ตรองขึ้นมามันจะพยายามสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วตีเหล็ก ตีจนละเอียดอ่อน จนมีดคมคมจนเต็มที ชำระขาดออกไปจากใจ เวิ้งว้างออกไป เวิ้งว้างออกไป นี่สัญญาไม่มี สัญญาขาดหมด สัญญา ขันธ์ ๕ กับจิตนี้ขาดออกจากกัน ไม่มีสัญญาในหัวใจนั้นอีกแล้ว เพราะขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ตรงนี้ก็คิดว่าเป็นวิมุตติอีก

มันไม่ใช่ มันไม่ใช่เพราะอะไร เพราะตอของจิตมันยังมีอยู่ไง ตอของจิตไม่ใช่สัญญา สัญญาเป็นสัญญา จิตเป็นจิต คนละเรื่องกัน ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต แต่จิตนี้มันยังเป็นตัวของจิตอยู่ นี่ตามเข้าไปจับจิตตัวนั้น

อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้ในอะไร? ไม่รู้ในตัวมันเอง แต่รู้เรื่องส่งออกมา ส่งออกมาแต่ไม่รู้ตัวมันเอง นี่ย้อนกลับเข้าไปจับตรงนั้นได้ ถ้าย้อนเข้าไปจับได้ นี่อำนาจวาสนา อำนาจวาสนาถึงจับได้ จับได้แล้วพลิก จบสิ้น จบสิ้น

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส” เพราะจิตเดิมแท้นี้ไม่รู้ตัวมันเอง ส่งออกมาเป็นความสว่างกระจ่างแจ้ง

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส” ความบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้นไม่ใช่ความผ่องใส ความผ่องใสนั้นคือตัวพลังงาน ความบริสุทธิ์ไม่ใช่พลังงาน ความบริสุทธิ์บริสุทธิ์ผุดผ่องในนั้น ความบริสุทธิ์ผุดผ่องอันนั้นเป็นวิมุตติสุข สุขเต็มที่ในหัวใจดวงนั้น

นี้คือผลงานของใจดวงนั้นที่ว่า ไม่ใช่สัญญาความจำได้หมายรู้ มันเป็นเกร็ด เป็นเอกลักษณ์ เป็นความคิดของใจ เป็นความเห็นของใจดวงนั้นที่ทำผ่านเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนถึงกับวิมุตติหลุดพ้น แล้วมันจะเอาสัญญามาจากไหน

การแสดงออกนี้มันต้องแสดงออกโดยสัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้สัญญา ใช้ขันธ์ ๕ อยู่ ๔๕ ปี เวลาเทศน์ เวลากล่าวคำสอนนี้มันก็ใช้สัญญานั่นแหละ มันต้องออกมาใช้สัญญาเพราะ เพราะมนุษย์มีขันธ์ ๕ มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ สัญญานี้ต้องเอามาสื่อกัน สื่อด้วยความสมมุติก็ต้องสื่อกัน แต่มันวิมุตติตัวนั้นมันเอามาสื่อไม่ได้ เพราะมันเป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่ละเอียดอ่อนอยู่ใน...(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)